กระแส Fast Beauty  สินค้าความงามตามกระแสนิยม เน้นปริมาณมาก คุณภาพต่ำ ตอบสนองความต้องการระยะสั้นโดยเฉพาะมีวัตถุประสงค์คือผลิตสินค้าที่ล้อไปกับกระแสความนิยมของคนในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง  ให้เกิดเป็นปริมาณการซื้อขายที่มากและรวดเร็ว และมีส่วนสำคัญในการเพิ่มปริมาณขยะพลาสติก โดยมีโปรโมชั่นและราคาที่ดึงดูดใจ ซึ่งเติบโตขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาวที่มักสนใจในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจาก Euromonitor International แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2023 ปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางเพิ่มขึ้นกว่า 30% (อ้างอิง https://www.banuba.com/blog/cosmetic-waste (สืบค้นวันที่ 19 กันยายน 2567) เนื่องจากการหมุนเวียนของสินค้าสูงขึ้นเพื่อสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาความหลากหลายและความทันสมัยในผลิตภัณฑ์

วันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมาได้มีการสำรวจร้านที่จำหน่ายสินค้าสกินแคร์และเครื่องสำอาง หรือเรียกว่าร้าน Beauty Shop พบว่าในตะกร้าของผู้ที่มาซื้อสินค้า มีสินค้าที่เป็น Fast Beauty อยู่แทบทุกตะกร้า อันเนื่องมาจากโปรโมชันที่ดึงดูดและราคาที่ไม่ได้สูงจึงทำให้เกิดการซื้อขึ้น โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นเลย ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ปัญหาที่ผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติกจากอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีความคิดที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อของตน  

จากการสัมภาษณ์ช่างแต่งหน้ามืออาชีพและกลุ่มนิสิตตณะนิเทศศาสตร์วันที่ 16 กันยายน เพื่อนนิสิต กล่าวว่าในกระบวนการผลิตเครื่องสำอางอย่างไรก็ตามมันเกิดสารเคมีขึ้นแล้ว และเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและขยะมีอยู่น้อยมาก ด้วยเหตุที่ว่า เครื่องสำอางและสิ่งแวดล้อม

ยังมีความก่างกันอยู่มาก นั่นเป็นเหตุผลหลักที่เมื่อซื้อสินค้า มักจะซื้อตามรีวิว ราคาที่รับได้และคุณสมบัติที่ต้องการ แต่ไม่มีแนวโน้มที่จะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพียงแค่ไม่ซื้อมาตุน หรือใช้ให้หมด ไม่ตามกระแส Fast Beauty ก็เพียงพอแล้ว หรือบางท่านก็ยังมีการใช้ผลิตภัณฑ์ Fast Beautyอยู่ด้วยราคาที่ดึงดูดให้เกิดการซื้อ และมองว่าจะให้เปลี่ยนพฤติกรรมก็คงยาก

ช่างแต่งหน้าท่านหนึ่ง เผยว่า ขั้นตอนในการพิจาราณาการเลือกซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความงามนั้นสิ่งที่คำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือคุณภาพและความคุ้มค่าในด้านคุณลักษณะจำเพาะของเครื่องสำอาง รองลงมาเป็นเรื่องราคา เนื่องจากองค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้มีผลต่อหน้าที่การงานมากที่สุด และไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบอื่นเท่าไร แต่ก็พอรู้ว่ามีบางผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์สำหรับความยั่งยืนก็สนใจมากขึ้นแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมาก 

ช่างแต่งหน้าอีกท่านกล่าวว่า ขั้นตอนในการตัดสินใจซื้อเป็นเรื่องคุณภาพเป็นหลัก ราคาเป็นรอง และถ้าสินค้าที่คุณภาพดีและทางแบรนด์มีบรรจุภัณฑ์ที่คิดถึงโลกด้วยก็จะตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ด้วยสาเหตุนี้ทำให้บางแบรนด์หยิบยกโอกาสนี้ในการแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการติดป้ายว่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ แต่เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและเพื่อเพิ่มจึงติดป้ายเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์นี้มัชื่อเรียกว่า “Green Washing”

ฝุ่นใต้พรมวงการบิวตี้

วันที่ 17 กันยายน 2567 ได้มีการลงพื้นที่เพื่อดูผลิตภัณฑ์และ สัมภาษณ์รูปแบบออนไลน์ กับ คุณธนาตา ศิริศรวงษ์ เจ้าของกิจการ และ ผู้บริหารสูงสุดแบรนด์ AKINS มีมุมมองต่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ดังนี้ “อันที่จริงแล้ว สินค้าบิวตี้ทั้งแบบ Fast และ แบบ Sustain เองไม่ได้แตกต่างกันมากนักในเรื่องของสีหรือคุณลักษณะพิเศษในการเป็นเครื่องสำอาง แต่ต่างกันแน่ๆตรงที่ สินค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าจริง ๆ  เพราะว่ามันมีกระบวนการในการใช้ขยะเหล่านั้นอย่างคุ้มค่าที่สุด” 

ฝุ่นใต้พรมวงการบิวตี้

ซึ่งผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้สามารถเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค โดยใช้หลักการผลิตที่คำนึงถึงคุณภาพและการรักษ์โลกไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเล็งเห็นถึงปัญหาขยะจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 

คุณธนาตา ศิริศรวงษ์ มีความตั้งใจที่จะเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ และมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงตอบสนองความต้องการของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย คุณธนาตากล่าวว่า 

“แบรนด์ AKINS ก็อาจถือได้ว่าเป็น First mover ในการผลิตเครื่องสำอางออร์แกนิคพร้อมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เพราะก้าวแรกที่แตกต่างสำคัญที่สุด การเป็นคลื่นลูกแรกในวงการความยั่งยืน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นลูกที่แรกมาก แต่ก็ถือเป็นก้าวที่สำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คุณธนาตา กล่าวว่า “ปัจจุบันลูกค้ามีความรับรู้เกี่ยวกับขยะเครื่องสำอางมากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่ดี แต่การทำเครื่องสำอางที่ให้ความยั่งยืนได้จริง ก็มีราคาที่ต้องจ่ายค่อนข้างมาก” ในการทำแบรนด์เครื่องสำอางที่ยั่งยืนมีต้นทุนที่ต้องแบกรับทำให้ไม่ใช่ทุกแบรนด์ต้องการที่จะทำสินค้าเหล่านี้ “แบรนด์ของเรารับทิ้งขยะบรรจุภัณฑ์ที่ใช้หมดแล้วจากทางแบรนด์ เพื่อนำไป Recycle กลายเป็นอิฐบล็อกทำถนน หรือฝาครีมกันแดดต่อไป” คุณธนาตากล่าว

“สิ่งที่คำคัญที่สุดในการทำธุรกิจคือผู้บริโภค” คุณธนาตากล่าว เพราะในการทำธุรกิจแม้จะมีจุดยืนที่แข็งแรงมากแค่ไหนก็ต้องทำบางสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ปัญหาขยะเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเครื่องสำอางกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และเปลี่ยนตามเทรนด์อย่างรวดเร็ว หลายครั้งผู้บริโภคอาจซื้อมาโดยใช้ไม่ทันก่อนถึงวันหมดอายุซึ่งทำให้สินค้าถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้เต็มประสิทธิภาพพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วไปและช่างแต่งหน้ามักใช้เครื่องสำอางหลายชิ้นต่อการแต่งหน้า แต่ละครั้ง อาจมากถึง 10 ชิ้นหรือเกินกว่านั้น แต่ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกคำนึงเป็นปัจจัยสำคัญ ด้วยมุมมองจากช่างแต่งหน้ารายหนึ่งที่ว่า การผลิตเครื่องสำอางนั้นต้องใช้สารเคมีอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นหลัก ผู้บริโภคมักให้ความสำคัญกับเครื่องสำอางที่ไม่ทดสอบกับสัตว์มากกว่า

ฝุ่นใต้พรมวงการบิวตี้

แม้พฤติกรรมการซื้อจะยากต่อการเปลี่ยนแปลง ผู้คนยังคำนึงถึงราคาและคุณสมบัติก่อน โดยทราบดีว่าเครื่องสำอางเหล่านั้นจะกลายเป็นขยะในที่สุด  ทำให้ขยะจากเครื่องสำอางมีจำนวนมาก การหันไปใช้เครื่องสำอางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องยาก ด้วยปัจจัยด้านราคาที่มากขึ้น และรูปลักษณ์ที่อาจไม่สวยตรงตามความต้องการมากเท่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มอาจเลือกสนับสนุนสิ่งแวดล้อมด้วยการเลี่ยงแบรนด์  Fast Beauty แทนปัญหาขยะและการปล่อยคาร์บอนยังคงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ประเภท Fast หรือ Sustain ต่างก็ก่อให้เกิดขยะพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์ องค์กร Zero Waste รายงานว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางสร้างขยะบรรจุภัณฑ์มากกว่า 120 ล้านชิ้นต่อปี โดย 95% ของขยะเหล่านี้เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และส่วนใหญ่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งทำให้ต้องนำไปฝังกลบหรือทิ้งลงสู่ทะเล ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ พลาสติกบางชนิดใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 1,000 ปี

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บริโภคสามารถมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้ด้วยการเริ่มต้นจากตนเอง ซึ่งพลาสติกจากเครื่องสำอางบางประเภทสามารถนำไปรีไซเคิลได้ เช่น พลาสติกที่มีสัญลักษณ์รีไซเคิลหมายเลข 1, 2, 5, 70, 71, 72

ฝุ่นใต้พรมวงการบิวตี้

ขั้นตอนการทิ้งขยะสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางมีดังนี้

  1. แยกขยะเครื่องสำอางที่ต้องการทิ้ง 
  2. ล้างบรรจุภัณฑ์ให้สะอาด 
  3. แยกชิ้นส่วนออกมา 
  4. นำไปทิ้งในถังขยะรีไซเคิล

หมายเหตุหากหมดอายุให้ทิ้งในถังขยะอันตราย อีกทางเลือกหนึ่งคือการคืนบรรจุภัณฑ์ให้แบรนด์หากทางแบรนด์มีนโยบายนำไปรีไซเคิล ซึ่งขยะจากเครื่องสำอางสามารถนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ อิฐบล็อก หรือถังน้ำต้นไม้ได้ อีกช่องทางหนึ่งในการส่งขยะไปรีไซเคิลคือโครงการ Green Road รับบริจาคขยะพลาสติกจนกว่าจะหมดโลก

“เราตามหาความงาม แต่กลับทิ้งรอยแผลให้โลก ทั้งจากคาร์บอน ขยะพลาสติก และบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง สุดท้าย ความสวยของเราอาจกลายเป็นภาระที่โลกต้องรับไปตลอดกาล”

 

พิชญ์กานต์ สุขาทิพยพันธุ์

ภัทชา บัวน้อย

Picture of JNplus

JNplus

แชร์บทความนี้

โพสต์ยอดนิยม

คุณอาจจะชอบ